พลเอก เรือง เรืองวีรยุทธ (?-?) หรือ
ขุนเรืองวีรยุทธ อดีตนายทหารบกและนักการเมืองชาวไทย อดีตสมาชิก
คณะราษฎร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 อดีต
ปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตจเรทหารบก อดีตเจ้ากรมพลาธิการทหารบก อดีตเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก อดีตกรรมการสภามหาวิทยาลัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตผู้ว่าราชการภาค ๒พลเอกเรืองมีนามเดิมว่า
บุญเรือง วีระหงส์ จบการศึกษาจาก
โรงเรียนนายร้อยทหารบก หรือ
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ในปัจจุบันพร้อมกับรับพระราชทานยศร้อยตรีเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2466
[1] หลังจากนั้นได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น
ขุนเรืองวีรยุทธ ศักดินา ๖๐๐ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2473
[2]ในเหตุการณ์
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พลเอกเรืองซึ่งในขณะนั้นมียศเป็นร้อยโทและเป็นหนึ่งในสมาชิกของ
คณะราษฎร ได้ทำหน้าที่เดินทางติดตาม พันโท
พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือของคณะราษฎรเพื่อไปคุมพระองค์
จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต จากที่ประทับ
วังบางขุนพรหม มายัง
พระที่นั่งอนันตสมาคม อันเป็นกองบัญชาการของคณะราษฎรต่อมาในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ท่านขณะมียศเป็น
ร้อยเอก[3] เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2
[4] เมื่อมีการประกาศยกเลิกบรรดาศักดิ์ ขุนเรืองวีรยุทธ จึงกราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2485
[5] พร้อมกับใช้ชื่อราชทินนามเป็นชื่อสกุลว่า เรืองวีรยุทธ แทน วีระหงส์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485
[6]ต่อมาในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2487 พลเอกเรืองขณะมียศเป็น
พันเอก[7] และดำรงตำแหน่งเป็น เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ได้รับโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมเตรียมการทหารอีกตำแหน่งหนึ่งโดยให้พ้นจากตำแหน่ง สารวัตรใหญ่ทหาร
[8] โดยได้รับโปรดเกล้า ฯ พระราชทานยศ
พลตรี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปีเดียวกัน
[9]ต่อมาในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 พลตรีเรืองพ้นจากตำแหน่ง เจ้ากรมเตรียมการทหาร คงเหลือเพียงแต่ตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เพียงตำแหน่งเดียว
[10] กระทั่งวันที่ 30 พฤศจิกายน ปีเดียวกันได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม
[11] โดยได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ
พลโท เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2489
[12]กระทั่งวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 พลโทเรืองพ้นจากตำแหน่ง ปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง จเรทหารบก แทน พลตรีเดช เดชประดิยุทธ์ ที่ไปดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารบก
[13] จากนั้นในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลโทเรืองพ้นจากตำแหน่ง จเรทหารบก และให้ไปดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมพลาธิการทหารบก
[14]โดยในปีเดียวกันก็ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการสภากรรมการทหารผ่านศึกแทนที่ พลโทจอน บูรณะสงครามที่ลาออกไปเมื่อวันที่ 13 กันยายน
[15] แต่หลังจากดำรงตำแหน่งได้ 2 ปี 9 เดือน พลโทเรืองก็ต้องพ้นจากตำแหน่งเจ้ากรมพลาธิการทหารบก ไปสำรองราชการกองทัพบก โดยมี พลตรี ปรุง รังสิยานนท์ รองเจ้ากรมพลาธิการทหารบก ขึ้นมารับตำแหน่งแทน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2495
[16] ต่อมาพลโทเรืองซึ่งขณะนั้นสำรองราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
[17]ได้โอนย้ายมารับราชการที่กระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2496
[18] ต่อมาในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2496 พลโทเรืองได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการภาค ๒ พร้อมกับนายทหารอีก 2 ท่านที่โอนย้ายมาพร้อมกันคือ พลอากาศโท
หลวงเจริญจรัมพร (เจริญ เจริญจรัมพร) ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ว่าราชการภาค ๓ และ พลตรี
หลวงกัมปนาทแสนยากร (กำปั่น อุตระวณิชย์) ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ว่าราชการภาค ๕
[19]โดยยศทางทหารสุดท้ายคือ
พลเอก ซึ่งได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2500
[20]